สำรวจอีกก้าวเล็กๆ ของ “ปราง ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา” อดีตแอดมิชชันอันดับ 1 ของประเทศไทย

เมื่อ 3 ปีก่อน “ปราง ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา” ครอบครองตำแหน่งคะแนนแอดมิชชันสูงสุดอันดับ 1 ของประเทศไทย สร้างความฮือฮาให้กับวงการการศึกษาและผู้ติดตามข่าวทั่วทั้งประเทศด้วยการเลือกคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ในปีนั้นคะแนนสูงสุดของประเทศอยู่ที่คณะสายสังคมอย่างนิเทศศาสตร์ ศาสตร์ที่ใครหลายคนบอกว่าได้เวลาปิดตัวและปรามาสปรางว่าจะไปได้สักกี่น้ำในเส้นทางสายนี้
เวลาผ่านมาไม่กี่ปีวันนี้ ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา คือเจ้าของภาพยนตร์สั้นเรื่อง Invisible Murder ที่เธอทั้งกำกับและอำนวยการสร้างด้วยตัวเอง ที่คว้ารางวัล Silver Award ในสาขา Woman Filmmaker จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติประจำกรุงนิวยอร์กมาได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 15-16 มิถุนายนที่ผ่านมา
ล่าสุด Invisible Murder ยังคว้ารางวัลตัดต่อภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม (Best Editing in Short Film) และรางวัลนักแสดงนำหญิง ภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม (Lead Actress Honorable Mention in a Short Film) จาก South Film and Arts Academy Festival ประเทศชิลี มาครองได้สำเร็จ วันนี้ Gvillage Co-creation hub จะพาไป learn to be creator กับสาวน้อยคนนี้กันค่ะ

เล่าเรื่องความสำเร็จล่าสุดให้ฟังหน่อย
เรียกได้ว่าเป็น “ความสำเร็จที่จับต้องได้ครั้งแรกในด้านฟิล์ม” ของปรางเลยค่ะ เป็นมากกว่าแค่ความภาคภูมิใจจากการทำหนังสำเร็จเรื่องหนึ่งเหมือนโดยปกติที่ผ่านมา ตอนที่ปรางเริ่มต้นทำหนังเรื่องนี้ปรางไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่คิดว่าพยายามทำให้เต็มที่ เอาภาพที่อยู่ในหัวของเราออกมาให้ชัดที่สุด ออกมาอย่างที่เราต้องการ ไม่ได้คาดหวังให้มันได้รางวัลหรืออะไร
แต่ตอนที่ได้รางวัลก็ดีใจมาก ตอนแรกปรางเข้าใจว่าคนที่ได้รางวัลคือเขาจะต้องแจ้งไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว แต่ว่าเขาแค่เอาเราและหนังของเราเข้าไปในเทศกาลเฉยๆ ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้รางวัล แล้วทีนี้พอเขาประกาศเราก็เลยตื่นเต้น ตกใจมากที่ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ภูมิใจไปกับเราด้วย ตอนแรกปรางก็บอกเขาไว้แล้วว่าเราไม่น่าจะได้นะ เพราะไม่เห็นมีใครบอกอะไรไว้เลย วินาทีนั้นเขาเลยดีใจมากและก็เริ่มสบายใจว่าเราทำได้นะ เหมือนกับเขาเห็นลูกนกที่บินได้แล้ว
ตอนนี้บางคนมองว่าปรางประสบความสำเร็จอีกขั้นแล้ว คิดยังไง
ปรางก็อยากให้เป็นความสำเร็จขั้นแรกของปรางเหมือนกันค่ะ หวังว่ามันจะช่วยเปิดประตูให้กับโอกาสต่างๆ ในอนาคตของปรางให้เข้ามามากขึ้น ตอนนี้ก็มีบ้างแล้ว แต่ยังไม่มากเท่าไร ดังนั้นถ้าใครสนใจก็ติดต่อเข้ามาได้เสมอนะคะ อยากได้งานค่ะ (หัวเราะ)
วันนั้นที่เราเป็นข่าวดัง เพราะว่าเราเรียนเก่งมาก แต่เลือกเข้านิเทศไม่กลัวบ้างหรอ
ตอนเลือกก็มีกลัวบ้างกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าจบไปจะไม่มีงานทำ แต่ว่าปรางเชื่อในตัวเอง เชื่อมากด้วยว่าสุดท้ายถ้าเราเลือกในสิ่งที่เราชอบและเราทำมันได้ดี มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่พร้อมรองรับเรารอเราอยู่แน่ๆ สุดท้ายเราเลยชนะความกลัวมาได้
มีสักวินาทีไหมที่รู้สึกเหมือนจะคิดผิด
ก็เคยมีเหมือนกัน เคยคิดว่าตัวเองเรียนสายวิทย์-คณิตมาตลอด แล้วก็ไม่ได้มีประสบการณ์การทำหนังเยอะขนาดนั้น พอเข้าคณะมาเจอแต่คนเก่งๆ มากมาย ตอนแรกก็แอบรู้สึกว่า เราจะตามเขาทันไหม เราจะไหวหรือเปล่า เราเริ่มต้นช้าไปไหม แต่สุดท้ายปรางก็ค้นพบกับตัวเองว่ามันไม่มีวันที่จะสายเกินไป ถ้าเราพยายามมากพอก็เลยกลับมาจากความรู้สึกที่ว่าอาจจะคิดผิด และตอนนี้ปรางก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนและตัวเองเห็นในระดับหนึ่งแล้วว่าปรางไม่ได้คิดผิดจริงๆ ขอแค่พยายามให้มากพอ

ใช้ความพยายามมากไหมในการดึงตัวเองกลับมา
ก็มากนะ แต่ตอนนั้นปรางคิดว่าถ้ายังปล่อยให้ตัวเองเป็นลูซเซอร์ต่อไป ปรางก็ไม่มีวันหลุดออกจากการเป็นไอขี้แพ้คนนั้นได้เลย เราต้องเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง อย่าไปกลัวว่าทำไปแล้วมันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า เพราะความจริงแค่เราเริ่มทำอะไรสักกอย่างต่อให้มันเฟล แต่เราก็ได้เริ่มทำแล้ว ได้ฉุดตัวเองออกมาจากความลูซเซอร์ตรงนั้นแล้ว
อาจจะมีหลายคนที่เริ่มทำ แล้วมันล้มเหลวจนไม่อยากไปต่อ ปรางว่ายังไงดี
ปรางว่า ปรางก็เคยเป็นคนขี้แพ้คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางคนเก่งมากมาย แต่วันนี้พอปรางเริ่มทำอะไรสักอย่างปรางก็ได้ประสบความสำเร็จบ้างแล้ว มันอาจจะไม่ใช่อย่างแรกที่ปรางเริ่มทำ อาจจะไม่ใช่อย่างที่สอง มันคือความพยายามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ ถ้าเรายอมให้ความล้มเหลวครั้งหนึ่งกีดขวางเราจากความสำเร็จมันก็คงไม่ได้ มันก็จะต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างคิดค้นหลอดไฟเขาก็ยังต้องทำหลายครั้งเลย เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มันมาจากการล้มเหลวหลายๆ ครั้งนะ ปรางว่า
เวลาล้มครั้งแรกมันอาจจะเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราน่าจะเอาเวลามาคิดต่อดีกว่าว่าจะล้มครั้งต่อไปยังไงให้มันเจ็บน้อยกว่านี้ แล้วมันจะดีขึ้น แล้วเราจะทำได้ ทุกความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนให้เราในอนาคต
จากวันแรกที่เลือกเข้านิเทศ จุฬาฯ มาจนถึงวันนี้ ปรางเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ปรางว่าตอนนี้ ปรางมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จากคนที่แทบไม่รู้จักนิเทศศาสตร์ วันนี้ปรางเข้าภาคแล้ว ปรางทำหนังเป็นแล้ว มีความสุขกับการทำสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้น ทำให้ปรางเชื่อมั่นมากขึ้นในสิ่งที่ตัวเองมี และมีความสุขเยอะขึ้นมากๆ

อะไรบ้างในคณะที่ทำให้ปรางเป็นปราง
ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนในคณะที่ทุกคนช่วยเหลือแล้วก็สนับสนุนกันดีมากๆ ทุกคนเป็นเหมือนกับครอบครัวที่ผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ การทำหนังไม่สามารถทำคนเดียวได้เลย ต้องอาศัยความช่วยเหลือและความเชื่อมั่นของทุกคน พอเราเป็นผู้กำกับเวลาทำหนัง มันก็ต้องมีคนจำนวนมากพอที่มาช่วยเราและเขาเหล่านั้นก็ต้องเชื่อเราว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันจะออกมาเป็นสิ่งที่ดีที่ยิ่งใหญ่ แล้วความเชื่อมั่นตรงนั้นที่มาจากพี่น้องคณะตรงนี้มันผลักดันให้การทำหนังแต่ละเรื่องออกมาเต็มที่ แล้วทำให้เราภูมิใจที่ได้ทำมันออกมา
เขาบอกว่า นิเทศ จุฬาฯ อยู่ยาก สำหรับปรางมันจริงไหม
ปรางว่าสำหรับคณะนิเทศศาสตร์ ถ้าเราจะแพ้อะไรก็คงเป็นการแพ้ใจตัวเองมากกว่า แพ้เพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ แทนที่เราจะเลือกที่จะแข่งขันกับตัวเอง แต่เราเลือกที่จะเอาตัวเองไปแข่งขันกับคนอื่นอันนี้แหละจะทำให้เราอยู่ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราแข่งกับคนอื่น ยิ่งเขาวิ่งไปไกลเท่าไรเราก็ต้องวิ่งตามเขาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราแข่งกับตัวเอง ยิ่งวิ่งเท่าไรเราก็ยิ่งนำหน้าตัวเองในอดีตมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนิเทศ จุฬาฯ อะไรบ้างที่ทำให้ปรางเป็นปรางมาแบบทุกวันนี้อีกบ้าง
การลองสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ ปรางรู้สึกว่าตัวเองต้องเรียนรู้ต่อไป ต้องขวนขวายต่อไปเรื่อยๆ ยังต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำอีกมาก ต้องหาประสบการณ์ที่ยังไม่เคยได้รู้ เช่น วันนี้เราเป็นคนถ่าย พรุ่งนี้เราอาจจะเป็นคนแสดง เรายังต้องหาแง่มุมอื่นๆ อีกมากมายในด้านนี้
ถ้านับจากจุดเริ่มต้นก่อนเข้ามาเรียนภาพยนตร์จนมาถึงตอนนี้ ปรางว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของยอดเขาแล้ว
ปรางว่า ปรางอยู่จุดชมวิวหมายเลขหนึ่ง ซึ่งปรางไม่รู้ว่ามันจะมีจุดชมวิวอีกกี่จุด มันน่าจะมีอีกเยอะมากแล้วปรางอาจจะยังไปไม่ถึงไหนเลยด้วย อาจจะไกลมากๆ จากยอดเขา ตอนนี้ปรางเหมือนเพิ่งแง้มโลกออกมาดูว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง ปรางยังไม่ได้เลือกเส้นทางและกำลังอยู่ในขั้นเรียนรู้อยู่ค่ะ

มองอนาคตของตัวเองไว้ยังไง
ระยะใกล้ปรางก็อยากจะเรียนจบสี่ปีนี้ให้ดีก่อน (หัวเราะ) ส่วนในระยะไกลปรางก็อยากจะเป็นผู้กำกับหญิง อยากจะแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงทำได้ แม้ตอนนี้จะมีหลายคนทำได้แล้ว แต่ปรางก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของพี่ๆ ผู้หญิงเหล่านั้นเหมือนกัน และปรางก็อยากจะถ่ายทอดความคิด ความฝัน แรงบันดาลใจที่สามารถส่งต่อได้ที่อยู่ในหัวปรางออกมา มันอาจจะไม่สามารถส่งต่อได้ด้วยคำพูด แต่มันน่าจะส่งต่อได้ด้วยเรื่องราวในภาพยนตร์ค่ะ