top of page

อีกด้านของ “จ๋อมแจ๋ม สุพิชชา” ที่ไม่เคยรู้



เริ่มต้นเส้นทางสายบันเทิงจากการทำกิจกรรมมหาวิทยาลัยอย่าง ‘ดรัมเมเยอร์ประจำงานฟุตบอลประเพณี’ จากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโด่งดังเป็นที่รู้จักจากมิวสิควิดีโอ เพลง อ้าว - Atom ชนกันต์ จน ‘จ๋อมแจ๋ม สุพิชชา สุบรรณพงษ์’ ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างแท้จริง แต่อีกด้านของชีวิตสาวน้อยคนนี้ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของงานยังมีอะไรน่าสนใจอีกมาก รอให้ G Village Co Creation Hub และทุกคนไปค้นหากันค่ะ


ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่บ้างตอนนี้


ตอนนี้ก็มีงานแสดงในซีรีส์ ละครซิทคอม แล้วก็งานโฆษณาค่ะ นอกจากนั้นก็จะมีงาน Influencer ในอินสตาแกรมบ้างประปราย แล้วถ้าเป็นเรื่องเรียนก็อยู่ระหว่างการเตรียมทำธีสิสสำหรับการเรียนจบ เพราะเราก็อยู่ปี 4 แล้ว โปรเจกต์ทำเป็นร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ก็ต้องวางแผนการทำโฆษณาบนดิจิทัล เพราะจะต้องเปิดร้านจริง ๆ บนอินสตาแกรม



เริ่มต้นทำงานในวงการได้ยังไง


น่าจะเริ่มจากการที่เราเข้ามาเป็นดรัมเมเยอร์ธรรมศาสตร์ในงานฟุตบอลประเพณีครั้งที่ 70 ตอนนั้นเป็นใบเบิกทางที่ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น และช่วงประมาณ 1 ปีหลังจากเป็นดรัมเมเยอร์ พอเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น ก็มีการเรียกเข้าไปแคสงานมากขึ้น จนเราได้ไปเล่นเป็นดรัมเมเยอร์ในฮอร์โมน เดอะซีรีส์ ก็เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นอีก หลังจากนั้นก็มีมิวสิควิดีโอเพลง "อ้าว" เราก็เริ่มมีงานในวงการเยอะขึ้น


ได้ยินมาว่าเรียนเก่ง จริงไหม


จริง ๆ เกรดเฉลี่ยเราประมาณ 3.16 เอง ก็ถือว่าเราเรียนกลาง ๆ มากกว่า จริง ๆ คิดว่าเป็นเพราะมีเพื่อนน่ารัก มีเพื่อน ๆ ช่วยเตือน ช่วยดึง ให้เราส่งงานให้เราอ่านหนังสือสอบ เวลาที่เราอยู่มหาลัย เด็กธรรมศาสตร์ส่วนมากก็อยู่หอตลอด ทำให้เราอยู่กับเพื่อนตลอด 24 ชั่วโมงเลย ก็จะมีเพื่อนนี่แหละที่ช่วยแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตเราด้วย


เป็นวัยรุ่นสายกิจกรรมด้วยใช่รึเปล่า


ใช่แล้ว (หัวเราะ) ทำกิจกรรมเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ปี 1 เลย เริ่มจากการเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะ เป็นดาวคณะ แล้วต่อมาก็มาเป็นดรัมเมเยอร์ธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นพอจบรุ่นของตัวเองที่ต้องทำกิจกรรมในฐานะดรัมเมเยอร์แล้วก็ต้องมาสอนน้องรุ่นต่อไปต่อ ทำให้เราไม่ได้หยุดทำกิจกรรมเลย นอกจากเป็นดรัมเมเยอร์ธรรมศาสตร์แล้ว ก็ช่วยงานในมหาวิทยาลัยทุกอย่าง พวกงานบำเพ็ญประโยชน์ก็มี เช่น สร้างฝาย ทาสีซ่อมแซมโรงเรียน จัดงานวันเด็ก



ได้อะไรบ้างจากการทำกิจกรรม


เราว่าการทำกิจกรรมทำให้เราเป็นคนรับผิดชอบกับชีวิตมากขึ้น เพราะในการทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ เราทำร่วมกับคนอื่นหลายคน เราต้องเคร่งครัดมากเรื่องเวลา ทำให้เราไม่เคยสาย เพราะตอนเป็นดรัมเมเยอร์จะสายแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวก็ไม่ได้

ส่วนพวกกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ก็ช่วยให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งของความเป็นมนุษย์ เราได้เห็นว่ามีคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะมาก บางทีเราทำงานแล้วเราคิดว่าเราเหนื่อย เราลำบาก แต่พอเราได้เห็นว่ามีคนที่ลำบากกว่าเรา เราก็ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น อีกอย่างเราได้ฝึกเรื่องการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำให้เราเคร่งครัดกับตัวเองว่าจะไม่เอาเปรียบใคร เรารู้สึกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา


บริหารเวลายังไงทั้งเรียน ทำกิจกรรม แล้วยังทำงานอีก


เราจะเอาเรื่องเรียนมาก่อนเป็นอย่างแรก งานข้างนอกเราจะทำต่อเมื่อเรามีเวลาว่างจากการเรียนเท่านั้น ส่วนกิจกรรมในมหาลัย เขาก็จะจัดไม่ให้ทับเวลาเรียนอยู่แล้ว นอกจากนั้นถ้าต้องอ่านหนังสือหรือต้องทำงานในวิชาเรียน เราก็ต้องยอมเหนื่อยกว่าคนอื่นหน่อย เพราะเราต้องมาทำหลังจากคนอื่นทำแล้ว มาทำหลังเราซ้อมเสร็จหรือหลังทำงานอื่น ๆ


ทำหลายอย่างแบบนี้เหนื่อยรึเปล่า ใช้ชีวิตวัยรุ่นคุ้มไหม


เหนื่อยมากกกกก ตอนที่เป็นดรัมเมเยอร์มหาลัยคือเหนื่อยโคตร ๆ เหนื่อยจนวันหนึ่งเรานั่งอยู่เฉย ๆ ก็ร้องไห้ออกมาเอง แต่พอผ่านไปเราก็รู้สึกว่ามันคุ้มมาก ๆ มันให้อะไรหลายอย่างกับเรา ตอนนั้นมันอาจจะเหนื่อย แต่ถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้วมันจะแบบคุ้มเกินกว่าคุ้ม



ถ้าให้เลือก 3 อย่างที่รู้สึกว่าตัดสินใจไปแล้วคุ้มค่าสุดๆ มีอะไรบ้าง


หนึ่ง เราเลือกถูกที่มาเรียนคณะสายนี้ ตอนที่เรียนมัธยมปลายเราเรียนสายวิทย์ เราก็จะอยากเป็นหมอหรือบัญชีอะไรแบบนี้ แต่พอ ม.6 ใกล้สอบแล้ว เรามานั่งถามตัวเองว่า เราอยากทำอะไรกันแน่ เราก็คิดว่าเราอยากเรียนอันนี้นะ ก็ถึงได้มาคุยกับพ่อแม่ในวินาทีสุดท้าย เลยเลือกเข้าคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน พอเราได้เข้ามาเรียนจริง ๆ ได้ทำงานสายนี้ แล้วคนในคณะจบออกมาก็อยู่ในวงการเดียวกัน พอมันมีงานอะไรที่เขาขายเราได้ก็จะนึกถึงเรา เราเลยได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น

สอง คือการเป็นดรัมเมเยอร์นี่แหละ ที่เป็นใบเบิกทางที่ดี นอกจากมันจะทำให้เราได้ลองเข้ามาทำงานในวงการแล้ว มันฝึกนิสัยเราให้เราอดทนมากขึ้น มันมีค่าในชีวิตเรามาก ๆ เลยจริง ๆ

สาม คือตอนที่เรากล้าตัดสินใจไปแคสงาน รู้สึกว่าการเป็นดารามันไกลตัวเรามาก ๆ ตอนแรกคิดว่าไปแล้วก็เสียเวลา มีแต่คนหน้าตาดีกว่าเราเยอะแยะไปหมด แต่ในที่สุดเราก็ได้รู้ว่า ของแบบนี้ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียวจะทำได้ แต่มันก็มีความสามารถหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยเรา จนเราเห็นว่าเราก็ทำได้นี่หว่า


สำหรับจ๋อมแจ๋ม “วัยรุ่น” ควรจะมีชีวิตแบบไหน


เราว่า ทุกคนควรจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองอยากใช้ อยากทำอะไรก็ควรจะได้ทำ ลองผิดลองถูกทั้งหมดเลย อย่างเราเองเป็นคนแบบที่ถ้าใครมาบอกเราว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ถ้าเราเจอเองลองเอง เราก็จะได้รู้ว่ามันจริงหรือมันไม่จริง วัยรุ่นเขาก็จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพียงแต่อยู่ในกรอบที่มันปลอดภัย ไม่ใช่อะไรที่มันเสี่ยงชีวิตหรือเสี่ยงอันตราย



คิดว่าตอนไหนที่จะเรียกได้ว่าตัวเองประสบความสำเร็จ


สำหรับเราแล้ว คือแค่ตอนที่เราไม่ต้องรับเงินจากพ่อแม่ ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ สามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเอง สามารถเลี้ยงพ่อแม่ แล้วก็ดูแลพ่อแม่ด้วยตัวเราเองได้ก็พอ


ความรักวัยเรียนในสายตาจ๋อมแจ๋มเป็นยังไง


สำหรับเรามองว่า ความรักในวัยรุ่นมันเป็นบวกนะ ผู้ใหญ่อาจจะมองว่ามันผิวเผินไม่จีรัง มีแต่เสียกับเสี่ยง แต่เรามองว่าวัยนี้เป็นวัยของการใช้ชีวิตนอกบ้านเยอะ เราจะไม่ค่อยฟังพ่อแม่ครอบครัวเท่าที่ฟังเพื่อน ดังนั้นการมีเพื่อนหรือเพื่อนต่างเพศที่ดี แล้วสามารถพากันไปในทางที่ดีด้วยมันก็น่าจะดีกว่า แต่คนรักหรือแฟนที่ดีควรจะอยู่ด้วยกันแล้วพาชีวิตของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นด้วย



ตอนนี้วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้าง


ก็คิดว่าจะรับงานในวงการไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้ามันยังมีงานนะ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ที่แพลนไว้ก็คืออยากจะไปเรียนต่อ เพราะวงการบันเทิงมันไม่แน่นอนเนอะ ก็คิดไว้ว่าอาจจะไปเรียนเกี่ยวกับบริหารหรือไม่ก็แฟชั่นไปเลย เพราะเรารู้สึกว่ามาร์เก็ตติ้งเป็นวิชาที่รู้ไว้แล้วจะเอาชีวิตรอดได้ การขายของเหมือนเป็นอาวุธติดตัว ถ้าเรามีเราก็จะรอด


อยากฝากอะไรถึงทุกคนที่ใจยังเป็นวัยรุ่นอยู่


อยากจะบอกว่า เราเองเป็นคนที่หาตัวเองเจอช้ามาก เรียนสาขาโฆษณามาถึงปี 3 แล้ว ถึงได้ลองทำงานแบบเอเจนซี่ แล้วได้มาคิดว่านี่มันคือสิ่งที่เราชอบจริง ๆ หรอวะ มันไม่ใช่นี่หว่า เลยอยากบอกทุกคนว่า ไม่ต้องคิดมากนะว่ายังหาตัวเองไม่เจอ เพราะว่าชีวิตเรายังไม่จบแค่นี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จตอนที่ตัวเองจบไปในทันที เรายังมีเวลาค้นหาตัวเองอีกเยอะแยะ

ดู 1 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page